• login
  • register
  • How to
  • product
  • game pc
  • Promotion

Flash banner right

รีวิว Yakuza Kiwami 2 ก้าวใหม่ของซีรีส์ กับการยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

 

แน่นอนว่าถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ได้อินกับหนังสไตล์ยากูซ่าหรือมิตรภาพลูกผู้ชายในแบบญี่ปุ่นก็อาจจะรู้สึกอินน้อยลงไปหน่อย เพราะสิ่งที่ได้เห็นในเกม Yakuza Kiwami 2 นั้นก็เป็นสูตรที่เราเห็นได้ทั่วไปในสไตล์หนังญี่ปุ่นที่อยู่ในท้องตลาด และถ้าเทียบกับภาคเก่า ความเข้มข้นน่าติดตามโดยรวมจะด้อยกว่าภาค 0 อยู่เล็กน้อย แต่โดยรวมแล้ว Yakuza Kiwami 2 ยังมีการลำดับและเล่าเรื่องที่เกินกว่ามาตรฐานของเกมจากญี่ปุ่นหลายเกมไปพอสมควร

เกมญี่ปุ่น ที่เสนอความเป็นญี่ปุ่นออกมาได้ชัดเจนที่สุด

นับตั้งแต่การกลับมาทำใหม่ในชื่อ Kiwami เกม Yakuza ก็สามารถถ่ายทอดความเป็นญี่ปุ่นในสถานที่ต่าง ๆ ของเกมออกมาได้ชัดเจนและมีชีวิตชีวาที่สุดเท่าที่ผู้เขียนเคยได้สัมผัสมา และด้วยพลังจาก Dragon Engine ที่เป็นตัวใหม่ล่าสุดที่ทางทีมงานใช้ ก็ช่วยให้บรรยากาศในเกมมีความสวยงามและโดดเด่นยิ่งกว่าเก่า สมกับเป็นเกมที่อยู่บนเครื่อง Next Gen อย่าง PlayStation 4 มาก่อน ไม่ว่าจะในเมือง Kamuro หรือ Sotenbori ต่างก็ถูกแกะมาจากเขตท่องเที่ยวสำคัญที่มีอยู่จริงอย่าง Kabukijo ในโตเกียว และ Dotonbori ในโอซาก้ามาได้ดียิ่งกว่าเดิม สวยงามทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืนแบบละสายตาไปไม่ได้เลยทีเดียว

และที่ยังคงเป็นจุดเด่นเหมือนเคยก็คือโหมดการเล่นต่าง ๆ Mini Game และ Sub Stories ที่มีให้เล่นจำนวนมหาศาล และความประทับใจทั้งความตลกในสไตล์ตลกหน้าตายที่ช่วยลดความตึงเครียดลงจากเนื้อเรื่องหลักได้มาก แม้ Mini Game บางอย่างจะหายไป แต่ก็มีของใหม่มาแทนที่ให้ได้สนุกกัน

และเกมเสริมที่มีเนื้อเรื่องแยกออกมาแบบเดียวกับในภาค 0 ก็กลับมาอีกครั้ง โดยคราวนี้จะเป็น Clan Creator ที่จะได้ช่วย Majima ฟอร์มทีมปกป้องที่ก่อสร้างจากเหล่าคู่อริทั้งหลาย กลายเป็นเกมแบบ Real Time Strategy ที่สนุกแบบไม่เคยมีมาก่อน และ Cabaret Club Gran Prix ที่กลับมาอีกครั้ง และเพิ่มรายละเอียดในการเล่นมากขึ้นจนสมบรูณ์ กลายเป็นโหมดที่เล่นสนุกไม่แพ้ตัวเกมหลักทั้งสองโหมดเลยทีเดียว แต่ก็อาจจะต้องทนความเกลือกันเสียหน่อย เพราะทั้งสองโหมดนี้ ผู้เล่นจะต้องใช้เงินการเปิดหาตัวละครมาเป็นสมาชิก ซึ่งต้องอาศัยดวงกันสักหน่อย

และที่ผู้เขียนว่าเข้าท่าก็คือเรื่องของการมีปฏิสัมพันธ์กับร้านค้าและชาวเมืองที่มากขึ้น ซึ่งถ้าหากสู้กันใกล้ ๆ กับตัวละคร NPC ในเมืองบางตัว ก็จะมีท่า Heat Action พิเศษให้ใช้ หรือถ้าสู้กันจนกระจกร้านค้าแตกเสียหาย ร้านค้าเหล่านั้นจะงดให้บริการเราชั่วคราว เป็นการเพิ่มส่วนร่วมของสภาพแวดล้อมที่ดูมีความสมจริงและน่าสนใจมากขึ้นไปด้วย

แต่ก็ดูเหมือนว่าระดับความยากของเกมในส่วนของ Mini Game จะยากกว่าภาคก่อน ๆ อยู่พอสมควร โดยเฉพาะเงื่อนไขในส่วนของ Sub Stories ที่ต้องชนะ Mini Game ที่ยากกว่าโหมดยากแบบปกติขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งให้ได้มีอยู่ค่อนข้างเยอะมาก เช่นการเอาชนะเกมมาจองให้ได้รอบวงโดยมีแต้มเริ่มต้นเพียง 1.000 แต้ม หรือหวดลูกโฮมรันกับนักเบสบอลมืออาชีพให้ชนะ ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความยากมาจากภาคที่แล้วหลายเท่า ซึ่งถ้าใครจะเก็บ Sub Stories ให้ครบในภาคนี้รับรองได้เลยว่าต้องปาดเหงื่อกันหลายรอบแน่นอน

อีกเรื่องหนึ่งก็คือตัว NPC ที่เดินอยู่ในเมืองที่ดูเหมือนจะใช้โมเดลซ้ำ ๆ อยู่มากเกินไปหน่อย แม้ตัว Dragon Engine จะให้ภาพที่สวยขึ้นและเพิ่มปริมาณของ NPC ในเกมได้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิมก็จริง แต่โมเดลของตัวละครในเกมกลับมีความหลากหลายน้อยลง ทำให้เราได้เห็นฝาแฝดเดินอยู่ในในเมืองจนถี่ในหลาย ๆ ครั้ง จนเกิดอาการหลอนขึ้นมานิด ๆ ได้เลย

ถึงแม้ในเรื่องของการนำเสนอจะมีความบกพร่องอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ Yakuza Kiwami 2 ก็ยังคงจุดแข็งที่มีดีของเกมแนว Action Open World เอาไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งการนำเสนอชาวเมืองที่มีชีวิตชีวา Mini Game และ Sub Stories ที่หลากหลายรสชาติ ทำให้ผู้เล่นได้เพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ จนแทบไม่อยากเลิกได้เลยทีเดียว

เอนจิ้นใหม่ กับ Gameplay ที่เปลี่ยนแปลงไป

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดในภาคนี้ก็คือ Gameplay ที่ถูกปรับใหม่หมดจด โดยเฉพาะระบบการต่อสู้ จากของเดิมในภาค 0 และ Kiwami สามารถเลือกปรับเปลี่ยนสไตล์การเล่นได้สามแบบ ในภาคนี้จะเหลืออยู่แค่แบบเดียวเท่านั้น ซึ่งก็มีข้อดีคือลดความซับซ้อนในการเล่นและทำให้ท่าต่าง ๆ ที่อัพเกรดมานั้นดูมีประโยชน์มากกว่าอัพเกรดไว้เฉย ๆ

แถมแต่ละท่าที่อัพเกรดมานั้นก็โอกาสได้ใช้จริง ๆ ทั้งสิ้น เช่นการ Parry ที่ถูกเปลี่ยนเป็นการปัดการโจมตีแทนที่จะเป็นการโจมตีสวนกลับ และท่าหลาย ๆ ท่าจาก Style ต่าง ๆ ในภาคเก่าก็ถูกนำมาใส่ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น ทำให้เราเราไม่รู้สึกว่าตัวเองเก่งเกินไปในช่วงหลังของเกม และความสำคัญของไอเท็มสวมใส่ก็สำคัญมากขึ้น เนื่องจากมีการให้โบนัสแบบใส่เป็นเซ็ทเข้ามาด้วย

ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ท่า Heat Action ที่เหมือนเป็นท่าโจมตีเผด็จศึกที่มีหลากหลายมากขึ้น โดยเพิ่มในส่วนของท่า Heat Action ที่ได้รับจาก NPC ที่เราช่วยเหลือในเมืองจาก Sub Stories ด้วย โดยถ้าหากอยู่ในพื้นที่ ๆ กำหนดไว้ ก็จะมี Heat Action พิเศษให้ใช้งานด้วย แม้จะต้องเปลืองค่า EXP ในการอัพเกรด แต่ก็ถือเป็นสีสันที่น่าสนใจไม่น้อย

ที่สำคัญคือในภาคนี้เราจะได้เดินทางร่วมกับตัวละครเสริมหลายครั้งด้วยกัน ซึ่งตัวละครเหล่านี้จะมีส่วนช่วยในการต่อสู้ด้วย และจะมีท่า Heat Action พิเศษแบบตัวละครคู่เพิ่มขึ้นมาด้วย เพิ่มความสะใจในการใช้ Heat Action มากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ส่วนความท้าทายในการต่อสู้ของเกมนั้นอยู่ในระดับที่พอดี ๆ ไม่ยากหรือง่ายจนเกินไป ศัตรูที่เจอในช่วงหลังจะเก่งขึ้นตามความสามารถของเรา จนทำให้เราไม่รู้สึกว่าตัวเองเก่งเกินจนไม่รู้สึกสนุกในช่วงหลังแบบที่เกิดขึ้นในภาคที่แล้ว

และสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากภาคเดิมคือการเพิ่มระบบฟิสิกส์แบบ Rag Doll เข้ามา ทำให้การออกท่าโจมตีบางท่านั้น ศัตรูจะกระเด็นไกลขึ้นไปด้วยจนน่าตกใจในบางจังหวะ สร้างความสะใจมากขึ้นในการเล่นเป็นอย่างดี แต่บางครั้งก็ทำให้เรารู้สึกสะดุดเพราะการที่ศัตรูกระเด็นไกลจนเกินไปจนทำให้ตามไปโจมตีต่อได้ลำบากมาก และการโจมตีของศัตรูก็ทำให้เรานั้นต้องลงไปนั่งทรุดเพราะระบบฟิสิกส์นี้ได้เช่นกัน จนทำให้การเล่นติดขัดออกไปทางน่ารำคาญในบางจังหวะมากกว่า และกว่าจะตั้งตัวได้ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร

ส่วนระบบการอัพเกรดตัวละครก็เปลี่ยนไปให้มีความซับซ้อนขึ้น โดยแบ่ง EXP ที่ได้เป็นสี่แบบ และทั้งสี่แบบจะถูกนำไปใช้ในการอัพเกรดที่แตกต่างกันออกไป และทักษะที่มีให้อัพเกรดนั้นจะมีหัวข้อมากขึ้นกว่าเดิม เช่น Life Skill ที่เพิ่มความสามารถในเรื่องของการรับ EXP ในด้านต่าง ๆ หรือความสะดวกในการใช้ชีวิตมากขึ้น Battle Skill ที่เพิ่มพลังโจมตีและท่าใหม่ ๆ และ Heat Action ที่เอาไว้เปิดท่าเผด็จศึกใหม่ ๆ เพิ่ม ซึ่งทักษะบางอย่างต้องไปทำเควสมาก่อนจึงจะสามารถใช้ EXP ปลดออกมาได้ ทำให้ใครที่อยากเก็บท่าครบ ก็ต้องไปเล่น Sub Stories ให้มากขึ้นเพื่อเป็นการเปิดทักษะใหม่ ๆ ซึ่งอาจจะต้องเสียเวลาในการเล่นไปพอสมควรเพราะความยากที่มากขึ้นของมันนั่นเอง

แม้จะต้องปรับตัวมาจากภาคเก่าเสียหน่อย แต่ระบบการเล่นของ Kiwami 2 ก็ยังคงทำออกมาได้ดีเช่นเคย ถึงจะมีจุดติดขัดบ้างเล็กน้อย แต่ก็มีการพัฒนาให้ผู้เล่นโฟกัสกับการเล่นในสไตล์เดียวมากขึ้น และถึงความหลากหลายจะลดลง แต่ความสามารถของตัวละครที่เราเล่นนั้นก็ยืดหยุ่นขึ้นด้วย ซึ่งน่าจะเหมาะกับที่คนที่ไม่ชอบสลับโหมดการต่อสู้ไปมาจนงง และพุ่งสมาธิไปที่การต่อสู้ได้มากขึ้น

พลังของ Dragon Engine ที่ยกระดับโลกของเกมขึ้นไปขั้น

ด้วยประสิทธิภาพของ Dragon Engine ตัวใหม่ที่ถูกนำมาใช้นั้น ทำให้งานภาพของ Yakuza Kiwami 2 มีความละเอียดมากกว่าเดิมจนสมกับเป็นเกมแห่งยุคใหม่ การให้แสงเงานั้นดูดีขึ้นมากแบบก้าวกระโดด รวมไปถึงรายละเอียดของตัวละครที่ยังคงจัดเต็มเหมือนเดิม จนทำให้รู้สึกว่าเกมมีการพัฒนามากกว่าเดิมหลายเท่า

ส่วนการ Port นั้นก็จัดว่ายอดเยี่ยมและแทบไม่เจอ Bug ร้ายแรงใด ๆ เลย ถ้าจะมีก็แค่การแสดงผลของ Rag Doll ที่ออกอาการเพี้ยนในบางช่วง ซึ่งก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นโดยรวมเท่าไหร่นัก แต่ที่ผู้เขียนรู้สึกไม่ชอบใจจริงก็คือการแสดงผลทางด้านแสงในบางฉากที่ออกแนวน่ารำคาญไปหน่อย ที่เห็นได้ชัดคือฉาก Kamurojo ในตอนกลางคืนที่ใช้ Motion Blur หลอกตาจนภาพในระยะไกลเบลอไปหมด ซึ่งตอนแรกก็คิดว่าเป็น Bug ของการแสดงผล จนได้เห็นฉากอื่น ๆ ในเกมก็รู้ว่าเป็นแค่ฉากนี้ฉากเดียวเท่านั้น ซึ่งก็น่าเสียดายเล็กน้อย

อีกจุดหนึ่งที่บางคนอาจจะรู้สึกรำคาญก็คือ Texture ของวัตถุและรายละเอียดพื้นผิวของเสื้อผ้าตัวละครบางตัวที่หยาบจนเห็นได้ชัด ซึ่งเมื่ออยู่ในฉากที่เต็มไปด้วยรายละเอียดในเกม บางครั้งก็ชวนให้รู้สึกรำคาญตาเล็กน้อย แต่โดยรวมก็ไม่ได้ส่งผลอะไรมาก

ซึ่งถ้าตัดเรื่องการใช้แสงในบางฉากกับความหยาบของ Texture ในบางจุดแล้ว ก็ถือว่าสอบผ่านแบบไม่เหนื่อยแรงมากนัก และที่สำคัญคือตัวเกมแทบไม่มีอาการเฟรมเรทตกให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว วิ่งได้ลื่น ๆ ที่ 60 เฟรมอย่างที่ทาง Sega โฆษณาไว้จริง ๆ

Conclusion

Yakuza Kiwami 2 นั้นเรียกได้ว่าพัฒนาจากภาคที่แล้วมาในหลายส่วน และมีการปรับปรุงให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้นในหลายด้าน แต่ความยากในส่วนของเกมเสริม Sub Stories ที่หินกว่าเดิม และอาการสะดุดเล็กน้อย ก็อาจทำให้การเล่นติดขัดได้บ้าง แต่สำหรับแฟนเกมที่ติดตามมาตั้งแต่ภาค 0 ที่เพิ่งวางจำหน่ายบน PC ตั้งแต่ปีที่แล้ว ก็ถือเป็นอีกภาคหนึ่งที่ห้ามพลาดอย่างยิ่ง และผู้เขียนก็คาดหวังว่าภาค 6 ที่จะวางจำหน่ายในอนาคตจะยังคงมาตรฐานที่ดีเช่นนี้ไว้ได้อีกเหมือนเดิมครับ

คะแนน – 8.8/10

0 item total: 0 บาท